น้ำมันปลา vs น้ำมันตับปลา ใครดีกว่าใคร?

น้ำมันตับปลา-น้ำมันปลา” ต่างกันอย่างไร

ตับบ...ตับ ตับ ตับ ตับ...ตับ ตับ ตับ ตับ ฮั่นแน่!!! เต้นตามกันเลยใช่ไหมคะ 5555

เปิดตัวอย่างเร้าใจ เข้ากับเรื่องน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาเป็นที่สุด อิอิ วันนี้แม่เขียดมาพร้อมสาระที่ทุกคนอาจจะคุ้นเคย เพราะเราก็เคยได้ยินเรื่องนี้กันมาพอสมควร แต่พอสอบถามลึกๆลงไปถึงทราบว่า....หลายๆคนเข้าใจผิดในเรื่องน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลานะคะ แม่เขียดและน้องมุกจึงตั้งใจนำบทความนี้มาเคลียร์ใจ(ว๊ายยยย...)กันค่ะ

 

รศ.นพ.ประเสริฐ อัสสันตชัย ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (Faculty of Medicine Siriraj Hospital) ได้มีการชี้แจงถึงประโยชน์ที่แตกต่างกันของน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาอย่างละเอียด

น้ำมันปลา เป็นน้ำมันที่สกัดจากเนื้อ หนัง หัว และหางปลาทะเล อาทิ ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแมคคอเรล ปลาแซลมอน ปลาทูน่า น้ำมันปลามีกรดไขมันที่ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างเองได้ โดยเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (Polyunsaturated Fatty Acid) หรือ PUFA 2 ชนิด ในกลุ่มโอเมก้า 3 คือ Eicosapentaenoic acid (EPA) และ Docosahexaenoic acid (DHA).....ชื่อมันช่างยาวเหลือเกิน พูดง่ายๆคือ ในน้ำมันปลามีกรดไขมันOmega3 ที่สำคัญ 2ตัวคือ EPA และ DHA นะคะ

ปัจจุบัน วงการแพทย์ให้ความสนใจถึงความสัมพันธ์ของน้ำมันปลากับโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ และสาเหตุการเกิดโรคก็มาจากการที่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจไหลเวียนไม่สะดวกเพราะผนังหลอดเลือดหนาและแข็งขึ้นจากการเกาะตัวของคอเลสเตอรอล การอุดตันของเกร็ดเลือดที่รวมตัวกันส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง บางรายที่อาการรุนแรงอาจเสียชีวิตได้

ดังนั้นผู้ป่วยโรคนี้ จึงมักได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้รับประทานน้ำมันปลา เพราะมีส่วนช่วยลดระดับไขมันในเลือด และยังช่วยลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยลดปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดได้เป็นอย่างดี

ในขณะที่ “น้ำมันตับปลา”  จะสกัดจากตับของปลาทะเล นิยมรับประทานเพื่อเสริมวิตามินเอ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเยื่อบุผิวให้เป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีวิตามินดี ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสบริเวณลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้การสร้างกระดูกเป็นไปอย่างปกติ

สำหรับชาวสว.อย่างเรา แม่เขียดคิดว่า การรับประทานน้ำมันปลาจะเหมาะกับเพื่อนๆที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ส่วนน้ำมันตับปลาจะเหมาะกับเพื่อนๆที่ต้องการบำรุงผิว รวมทั้งเสริมสร้างการสร้างกระดูกค่ะ แต่อย่างไรก็ดี....แม่เขียดก็ขอให้เพื่อนๆ เลือกทานในปริมาณที่เหมาะสมนะคะ

รับประทานน้ำมันปลาอย่างไรจึงจะปลอดภัย

1. บุคคลทั่วไป ควรรับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมทั้งอาหารที่มีกรด alpha – linolenic acid สูง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง เมล็ดธัญพืช เต้าหู้ เป็นต้น

2. ผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรรับประทานน้ำมันปลา ประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน

3. ผู้ป่วยที่ต้องการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ควรรับประทานวันละ 2 – 4 กรัม

ก่อนตัดสินใจรับประทาน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อนเพื่อความปลอดภัย และพึงระวังว่าการรับประทานน้ำมันปลาขนาดสูง อาจทำให้ระดับวิตามินอีในร่างกายลดลงได้ค่ะ

อย่างไรก็ตามแม่เขียดแนะนำว่า...ถ้าหากทานปลาอย่างเป็นประจำ การรับประทานน้ำมันปลาหรือน้ำมันตับปลาสกัด ก็อาจไม่จำเป็น จะปลาเล็ก..ปลาน้อย..ปลาตัวโต หากเรารับประทานปลาเป็นประจำ ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจหรือไขมันอุดตันก็จะน้อยกว่าคนทั่วไปค่ะ และที่สำคัญ....ยังมีผลวิจัยว่าสาร DHA มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองโดยเฉพาะในส่วนของความจำ และการเรียนรู้ เพราะสาร DHA จะเข้าไปเสริมสร้างความเจริญเติบโตของปลายประสาทที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ดีขึ้น ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องซื้อปลาแพง ๆ มารับประทาน เพราะแค่ปลาตาใส ๆ ที่วางขายในตลาดแถวบ้าน เช่น ปลาทู ปลาตะเพียน ก็มีสารอาหารเหล่านี้ครบถ้วนแล้วค่ะ

 

หวังว่าเพื่อนๆจะเข้าใจเรื่องน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาเพิ่มขึ้นนะคะ

 

ด้วยรักและห่วงใย

แม่เขียด เพจผู้สูงวัยใช่ไก่กา