โรคตาที่ผู้สูงวัยมีความเสี่ยง

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในปี 2568 คาดว่า จะมีสูงอายุร้อยละ 20 จากประชากรทั้งหมด!! (วะฮะฮ่า...เราจะครองโลกแล้ววว) โดยที่ร้อยละ 85 ของผู้สูงอายุสามารถดูแลตนเองได้ และผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพิงคนอื่นมีจำนวนเกือบร้อยละ15 ผลกระทบสุขภาพของผู้สูงอายุ หลักๆคือการทักทายกับโรคเรื้อรังสุดฮิต ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วนลงพุง และโรคข้อเสื่อม  นอกจากนี้ยังพบว่า มีผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 70 ที่สายตาไม่ดี การมองเห็นไม่ชัดเจน มีภาวะสายตาเลือนราง หรืออาจตาบอด ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก ซึ่งโรคตาที่พบมากในผู้สูงอายุ มีดังนี้

 

1. ต้อกระจก พบได้บ่อยที่สุดและมีความเสี่ยงแทบทุกคนเมื่อมีอายุมากขึ้น โรคต้อกระจกเกิดจากเลนส์แก้วตาขุ่น ทำให้แสงผ่านเข้าไปในตาได้น้อยลง ซึ่งเกิดจากปัจจัยเสี่ยง คือ อายุมากขึ้น หรือมีปัจจัยเสี่ยงร่วม เช่น การได้รับแสง UV บ่อยๆ หรือดวงตาสัมผัสแสงแดดจ้า ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง จะมีโอกาสเป็นต้อกระจกได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยากินและหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์หลายตัวก็ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นต้อกระจกเพิ่มขึ้น

ผู้ป่วยต้อกระจกจะมีอาการตามัวลง เห็นภาพซ้อน ตาสู้แสงไม่ได้ ผู้สูงอายุหลายคนจึงต้องมีการเปลี่ยนแว่นตาบ่อยๆ ต่อมาตามัวลงมาก ปรับแว่นอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น อาจมองเห็นภาพเป็นสีเหลือง บางคนอาจมองเห็นแสงกระจายในที่สว่างจ้า โดยการชะลอความเสื่อมของดวงตาที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง คือ การสวมแว่นกันแดดป้องกันรังสี UV แม่เขียดก็เป็นหนึ่งคนที่ใส่ใจกับสุขภาพของดวงตามาก เพราะดวงตาเรามีแค่คู่เดียว เมื่อเสียไปไม่สามารถมีสิ่งมาแทนที่ได้ ดังนั้นแม่เขียดจึงอยากแนะนำให้เพื่อนๆเลือกแว่นตาUV ที่ได้มาตรฐาน และสามารถป้องกันแสงยูวีได้จริง แว่นตาดีๆอาจจะราคาแพงหน่อย แต่เมื่อเทียบสุขภาพดวงตาของเรา การยอมลงทุนกับแว่นตาคู่ใจที่ใส่ได้ทุกวัน เป็นเรื่องที่คุ้มค่านะคะ

 

2. ต้อหิน พบได้น้อยกว่าต้อกระจก แต่เป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรโดยที่ผู้ป่วยไม่ทันรู้ตัว!! โรคต้อหินเกิดจากความดันในลูกตาที่สูงขึ้นจนมีการทำลายประสาทตา สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ดังนั้นผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหิน ครอบครัวที่มีสายเลือดเดียวกันก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน ได้แก่ เชื้อชาติ อายุ ภาวะสายตาสั้นมากๆ โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน การใช้ยาสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องโดยกิน ฉีด หรือหยอดตา หรือเคยได้รับอุบัติเหตุทางตามาก่อน

 

สำหรับอาการในช่วงแรกของโรคต้อหินมักไม่มีอาการ จะเริ่มสูญเสียลานสายตา คือ การมองเห็นจำกัดวงแคบลง จากด้านข้างเข้ามาตรงกลางเรื่อยๆ และสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร อาจมีต้อหินบางประเภท เช่น ต้อหินมุมปิดเฉียบพลันที่มีอาการปวดมาก เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ มัวลงมาก และตาแดง ถือเป็นภาวะเร่งด่วนมากต้องมาพบจักษุแพทย์ทันที

 

หากท่านเป็นโรคต้อหิน จะต้องมาตรวจติดตามอาการกับจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่มีวิธีการรักษาใดที่จะทำให้การมองเห็นเป็นปกติ ทำได้เพียงมิให้การมองเห็นแย่ลงกว่าเดิม ดังนั้นควรตรวจคัดกรองความเสี่ยงต้อหินเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป หากไม่มีความเสี่ยงก็ควรตรวจตาเป็นประจำทุกปีอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ไม่มีอาการ แต่ถ้ามีข้อสงสัยหรือสังเกตพบความผิดปกติต้องรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว

 

3. จุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม เกิดจากภาวะเสื่อมของบริเวณจุดภาพชัดที่อยู่ส่วนกลางของจอตา ทำให้การมองเห็นส่วนกลางของภาพมัวลง โดยที่บริเวณรอบข้างยังเห็นได้เป็นปกติ เกิดจากปัจจัยเสี่ยง คือ ภาวะสูงวัย แสง UV การสูบบุหรี่ และความดันโลหิตสูง ในระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการ ต่อมาเมื่อจอตาเสื่อมมากขึ้น จะมีอาการตามัว เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นจุดดำอยู่กลางภาพ และสูญเสียการมองเห็นตรงกลางภาพโดยไม่มีอาการปวด

 

ผู้สูงอายุที่ต้องการป้องกันภาวะจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม ควรตรวจตาเป็นประจำทุกปี หรือเมื่อสังเกตพบความผิดปกติต้องรีบมาพบจักษุแพทย์ ละควรหยุดสูบบุหรี่ และสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ รวมทั้งหมั่นรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก - ผลไม้สีเขียว - สีเหลือง ถั่วแดง เป็นต้น

 

4. ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดฝอยเสื่อมทั่วร่างกายรวมทั้งหลอดเลือดที่จอตา ทำให้เลือดและสารต่างๆ รั่วซึมออกมา เกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ประกอบกับระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน และโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต ภาวะซีด อาการในระยะแรกมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่ตรวจตาอาจพบจุดเลือดออกที่จอตา หากมีอาการตามัวแสดงว่าเบาหวานขึ้นจอตาเป็นมากแล้ว

 

การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมทั้งดูแลโรคประจำตัวอื่นๆที่มาพร้อมกับโรคเบาหวาน เช่น โรคความดันโลหิตสูงและโรคไต การควบคุมไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จะสามารถชะลอความรุนแรงของโรคได้ และผู้ป่วยเบาหวานทุกคนควรต้องตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง

 

5. ภาวะสายตายาวสูงอายุ เกิดขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ผู้ป่วยจะมอง อ่าน เขียนหนังสือ ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ระยะใกล้ๆ ไม่ชัดเจน ต้องถือหนังสือห่างๆ ทำงานโดยใช้การมองระยะใกล้ๆ ไม่ได้ แต่มองไกลได้ชัดเจนปกติ บางคนอาจมีตาพร่า หรืออาการปวดตา มักเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากความสามารถและช่วงในการเพ่งปรับสายตาลดลง เนื่องจากเลนส์แก้วตาแข็งตัวขึ้นและการทำงานของกล้ามเนื้อตาลดลง สามารถรักษาด้วยการใช้แว่นสายตา หรือการผ่าตัดทำเลสิก แต่อย่างไรก็ตาม ควรมาตรวจกับจักษุแพทย์ก่อนว่าไม่มีความผิดปกติของโรคตาอื่นๆ ร่วมด้วย

 

ผู้สูงอายุมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงตามวัยในระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงระบบการมองเห็นที่อาจจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่อย่างไรก็ตาม โรคเกี่ยวกับตาสามารถป้องกันหรือรักษาได้ หากเราดูแลตัวเองอย่างดีสม่ำเสมอหรือตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ เพื่อให้ได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆหากพบความผิดปกติของดวงตา เนื่องจากโรคตา เช่น ต้อกระจกผ่าตัดรักษาได้ บางโรคถ้าดูแลรักษาในระยะแรกและต่อเนื่องจะสามารถชะลอความเสื่อมได้ เช่น ต้อหิน จุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม หรือบางโรค เช่น โรคเบาหวาน ถ้าควบคุมความรุนแรงของโรคให้คงที่ จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของภาวะเบาหวานขึ้นจอตาได้

 

อย่างไรก็ตาม หากผู้สูงอายุสงสัยว่า มีภาวะสายตาผิดปกติ ควรพบจักษุแพทย์ทันที หรือตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง และที่สำคัญลูกหลานควรใส่ใจดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอย่างครบองค์รวม ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาวะที่ดีและมีความสุขทั้งกายและจิตใจ อันจะส่งผลให้เราสูงวัยอย่างมีรอยยิ้มค่ะ

 

ด้วยรักและห่วงใย                                                                                                  

แม่เขียด ผู้สูงวัยใช่ไก่กา