เที่ยวหน้าฝน ไปยลแหล่งท่องเที่ยวไทยสวย ๆ ที่เป็นที่เที่ยวเดือนกรกฎาคมห้ามพลาด สนุกสนานและพักผ่อนชิล ๆ กับธรรมชาติได้เต็มที่ ฟินกับอากาศเย็นสบายบริสุทธิ์สดชื่น ใคร ๆ ก็เที่ยวได้
เข้าสู่ครึ่งปีหลังกันแล้ว ใครที่กำลังมองหาที่เที่ยวเพื่อไปพักผ่อนกลางปี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี เพราะกลัวฟ้าฝน เราอยากจะบอกว่าไม่ต้องกลัวมากเกินไป เพราะหน้าฝนนี่ธรรมชาติจะสวยงามมากมาก กลิ่นน้ำฝนกลิ่นไอดินจะหอมหวานเป็นพิเศษ เป็นอีกฟีลลิ่งของการท่องเที่ยวที่น่าไปลองกันสักครั้ง เราก็เลยจัดที่เที่ยวเดือนกรกฎาคมมาฝากกัน แต่ละสถานที่นี่วิวดี บรรยากาศแจ่ม รับรองว่าถ้าได้ไปแล้วจะติดใจ มีที่ไหนบ้าง ไปส่องกันค่ะ
1. บ้านอีต่อง จังหวัดกาญจนบุรี
ถ้าอยากพักผ่อนกับหมู่บ้านเล็ก ๆ บรรยากาศเงียบสงบ หนึ่งในหมู่บ้านที่น่าสนใจ ก็คือ หมู่บ้านอีต่อง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ติดกับชายแดนไทย-เมียนมา รายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ พร้อมกับป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ มีสายหมอกแวะมาทักทายเป็นระยะตลอดทั้งปี อากาศเย็นสบายสดชื่น ไม่ว่าจะไปเที่ยวฤดูกาลไหนก็ฟิน อีกทั้งยังมีเมนูอาหารทะเลอร่อย ๆ ไว้เสิร์ฟ ด้วยอยู่ใกล้กับท้องทะเลอันดามันของประเทศเมียนมา พักผ่อนสบาย กินอิ่มเต็มพุง แบบนี้ไม่ควรพลาด
ภาพจาก iamtripper / Shutterstock.com
2. หมู่บ้านผาฮี้ จังหวัดเชียงราย
หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ติดกับชายแดนไทย-เมียนมา มีความโดดเด่นที่เป็นหมู่บ้านบนภูเขา ซึ่งมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามน่าเที่ยวชม อีกทั้งยังมีร้านกาแฟวิวสวยหลักล้านให้ได้ไปแวะพักนั่งดื่มกาแฟชมวิวทะเลหมอกชิล ๆ หลายแห่ง โดยกาแฟอาราบิก้าที่นี่จะมีรสชาติและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ คอกาแฟที่ได้มาชิมลิ้มลองต่างก็หลงใหล
นอกจากนี้ยังมีสะพานไม้ไผ่ไร่ผาฮี้ ซึ่งทอดยาวไปตามริมหน้าผากับวิวสวย 180 องศา ให้ได้เที่ยวชมด้วย
3. แม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
อำเภอแม่แจ่ม เป็นอำเภอที่มีธรรมชาติป่าเขาสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ก็คือ “นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง” ซึ่งช่วงเดือนกรกฎาคมก็จะเขียวขจีงดงามพร้อมให้นักท่องเที่ยวได้ยลนาขั้นบันไดกว้างขวางบนภูเขาสูง ซึ่งรายล้อมไปด้วยวิวของภูเขาน้อยใหญ่และทะเลหมอก อีกทั้งยังจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น-ลงท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบและเป็นธรรมชาติสุด ๆ
นอกจากนี้แม่แจ่มยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่น ๆ รออยู่ด้วย อาทิ นาขั้นบันไดบ้านตีนผา, วัดป่าแดด, วัดยางหลวง, วัดพุทธเอิ้น, หมู่บ้านหัตถกรรมผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่ม, นาขั้นบันไดบ้านกองกาน และร้านขนมนุช เป็นต้น
4. แก่งสามชั้น จังหวัดนครนายก
ตั้งอยู่บนแม่น้ำนครนายก ในตำบลสาริกา อำเภอเมืองนครนายก มีลักษณะเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ขวางกั้นลำน้ำ ก่อให้เกิดน้ำตกชั้นเตี้ย ๆ สามารถที่จะเล่นน้ำได้ โดยในช่วงหน้าฝนสายน้ำจะเยอะ บางวันน้ำจะใสแจ๋ว เย็นฉ่ำ เล่นน้ำได้สะใจ บริเวณริมฝั่งมีพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเล่นพักผ่อน กินข้าวปิกนิกกันได้ หรือถ้าใครสามารถค้างคืนได้ ก็มีรีสอร์ตอยู่ใกล้ ๆ ให้บริการหลายแห่ง
5. เกาะทะลุ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เกาะที่มีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประจวบคีรีขันธ์ ตั้งอยู่ห่างจากฝั่งตำบลปากแพรก อำเภอบางสะพาน ราว ๆ 10 กิโลเมตร เกาะทะลุมีพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสวนมะพร้าวอันร่มรื่น ที่ด้านหน้าของเกาะจะมีชายหาดสวย ทอดยาวขนานไปกับท้องทะเลอันดามัน น้ำทะเลจะเป็นสีฟ้าสวยใส มองเห็นปะการังที่อยู่รอบ ๆ แนวชายฝั่งชัดเจน
บนเกาะจะมีรีสอร์ตที่พักเพียงแห่งเดียว และมีศูนย์อนุบาลเต่าทะเลตั้งอยู่ด้วย พร้อมทั้งยังมีเส้นทางเดินเขาให้ขึ้นไปชมวิวทะเลกว้างใหญ่มุมสูง หรือถ้าใครอยากออกไปดำน้ำ ตกหมึก ชมเขาทะลุ ทางรีสอร์ตก็จะมีกิจกรรมเหล่านี้ให้บริการอย่างครบครัน
6. เขาพ่อตามังเคร จังหวัดชุมพร
ตั้งอยู่ที่ตำบลปากทรง อำเภอพะโต๊ะ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ยอดเขานมสาว” ส่วนที่เรียกกันว่าเขาพ่อตามังเคร ก็เพราะว่าด้านบนนี้มีต้นดอกมังเครกระจายตัวอยู่เยอะมาก ที่นี่มีลักษณะเป็นยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางราว ๆ 970 เมตร โดยการขึ้นไปด้านบนนั้น นักท่องเที่ยวจะต้องเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติประมาณ 2 กิโลเมตร ขึ้นไปยังยอดเขา โดยส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมเดินป่า 2 วัน 1 คืน เพราะบรรยากาศยามเช้าจะสวยงามมาก มีทะเลหมอกโผล่มาทักทายแบบสวยอลังการ มองเห็นไปได้ไกลถึงทะเลอันดามันฝั่งจังหวัดระนองเลยทีเดียว จึงเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ชอบเดินป่า ปีนเขา แต่ไม่ต้องการเหนื่อยมากเกินไป
7. เขาค้อ-ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์
ถ้าพูดถึงราชินีแห่งหน้าฝนในเมืองไทย หนึ่งในนั้นก็ต้องมี “เขาค้อ” และ “ภูทับเบิก” แห่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวภูเขาที่มีวิวทิวทัศน์งดงามแทบจะทุกตารางนิ้ว อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี
ภาพจาก Jarun Tedjaem / Shutterstock.com
โดยเฉพาะหน้าฝนที่ถ้าวันไหนฝนตกตอนกลางคืนแล้วหยุดช่วงเช้ามืด ก็จะได้เห็นทะเลหมอกแบบตระการตา กับวิวของขุนเขาเขียว ๆ รอบด้าน กลิ่นไอฝนต้นหญ้าหอมฟุ้ง สูดเข้าไปก็มีแต่ความสดชื่น นอกจากนี้ก็ยังมีร้านอาหาร-ร้านกาแฟวิวสวยหลักล้าน ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย
8. เขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ที่เที่ยวธรรมชาติที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลก มีลักษณะเป็นเขื่อนกว้างที่รายล้อมไปด้วยภูเขาหินปูนรูปร่างสวยงามแปลกตา บางจุดสวยงามจนนักท่องเที่ยวตั้งฉายาให้ว่า "กุ้ยหลินเมืองไทย" โดยนักท่องเที่ยวสามารถที่จะนั่งเรือชมวิวในเขื่อนได้ หรือจะพักผ่อนนอนแพบนเขื่อนก็ได้ ซึ่งน้ำในเขื่อนจะเป็นสีเขียวมรกตใสแจ๋วเย็นสดชื่น วันไหนฟ้าฝนเป็นใจก็จะเห็นสายหมอกลอยคลอเคลียยอดเขา สวยงามราวกับสวรรค์เลยทีเดียว
ภาพจาก tingsriton chairat / Shutterstock.com
นอกจากนี้ก็ยังมีจุดเช็กอินเจ๋ง ๆ รออยู่อีกเพียบ อาทิ เขาสามเกลอ, ควนคางคก, ถ้ำปะการัง, แพ 500 ไร่, วังปลาแพนางไพร, ถ้ำประกายเพชร เป็นต้น
9. หิ่งห้อย จังหวัดปราจีนบุรี
ตั้งอยู่ภายในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์ เลขที่ 1 หมู่ 5 ค่ายพรหมโยธี ตำบลไม้เค็ด อำเภอเมืองปราจีนบุรี โดยจะมีให้ชมเพียงแค่ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคมเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงหน้าฝน โดยหิ่งห้อยจำนวนนับแสนตัวจะมารวมตัวกันบริเวณแนวชายป่า ซึ่งเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ เงียบสงบมาก
ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การไปเที่ยวชม ก็คือ เวลา 19.00-20.00 น. และไม่ควรเกินเวลา 21.00 น. สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ดินแดนหิ่งห้อย ปราจีนบุรี
10. ทุ่งดอกกระเจียว จังหวัดชัยภูมิ
ทุ่งดอกไม้ป่าที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในช่วงหน้าฝน โดย “ดอกกระเจียว” จะออกดอกสีม่วงชมพูเบ่งบานละลานตาไปทั่วผืนป่าหลายร้อยไร่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อำเภอเทพสถิต และอุทยานแห่งชาติไทรทอง อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ นักท่องเที่ยวจะได้เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่้เจ้าหน้าที่ได้จัดทำไว้ให้ ซึ่งจะได้ชมดอกกระเจียวอย่างใกล้ชิด ยิ่งถ้ามาเที่ยวชมช่วงเช้า ๆ ก็จะได้เห็นดอกกระเจียวพร้อมกับหยาดน้ำค้าง บางวันก็มีหมอกบางเบา บรรยกาศสวยงามโรแมนติกมาก ๆ
ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในอำเภอนาน้อย และอำเภอนาหมื่น รวมพื้นที่มากกว่า 285,826 ไร่ ซึ่งทั้งหมดเป็นป่าเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยพืชนานาพรรณ พร้อมด้วยสัตว์ป่าอีกหลากหลายชนิด
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อาทิ ดอยแม่จอก, ยอดดอยภูคา และดอยกู่สถาน (ดอยธง) ทั้งนี้อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวติดใจที่นี่ ก็คือ บ้านพักของอุทยาน ซึ่งได้ออกแบบอย่างน่ารัก ทำให้สามารถมองเห็นวิวของขุนเขากว้างใหญ่ และทะเลหมอกได้อย่างจากที่นอน เพียงตื่นเช้ามาไม่ต้องลุกไปไหน ก็จะได้เห็นวิวสวย ๆ แล้ว
12. แพริมแม่น้ำน่าน บ้านพระฝาง จังหวัดน่าน
บ้านพระฝาง เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยวัดพระฝางนั้น มีอายุมากกว่า 800 ปี สันนิษฐานว่าสร้างมาก่อนสมัยของพ่อขุนรามคำแหง โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มของโบราณสถานเมืองฝางสวางคบุรี มีพระธาตุเจดีย์ ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุตั้งอยู่ด้วย ในการเสด็จประพาสต้นของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2444 พระองค์ก็ได้เสด็จมายังที่นี่ และโปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญพระฝาง พระพุทธรูปปางมารวิชัย ไปประดิษฐานที่วัดเบญจมบพิตรฯ จนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ขณะนี้ทางชุมชนได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดทำแพไม้ไผ่ริมแม่น้ำน่าน เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของชุมชน และจังหวัดน่าน โดยเป็นมุมที่สามารถลงเล่นน้ำในแม่น้ำน่านได้อย่างสนุกสนาน และยังเห็นวิวของดอยแม่แลได้อีกด้วย
ที่เที่ยวไทยสวย ๆ ที่เหมาะแก่การไปเที่ยวเดือนกรกฎาคม ไม่ได้มีแค่นี้แน่นอนค่ะ แต่ถ้าใครคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ก็พิจารณาสถานที่ท่องเที่ยวข้างต้นได้เลย เก็บเอาไว้เป็นไอเดียไปเที่ยวกันค่ะ :)
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง ข้อมูล ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2562
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ททท., เฟซบุ๊ก Bamboo walk หลากสี, เฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม Pa Hin Ngam National Park, เฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติไทรทอง Sai Thong National Park, park.dnp.go.th